เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะ ธรรมะเป็นนามธรรม สิ่งที่ธรรมะเป็นนามธรรม เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ หลวงตาท่านเทศนาว่าการ จิตใจเวลาประพฤติปฏิบัติแห่งทุกข์มันเข้าได้ทุกเม็ดหินเม็ดทราย มันเข้าไปได้ใน ๓ โลกธาตุ ใน ๓ โลกธาตุ เห็นไหม จิตใจมันบรรจุไว้หมดเลย ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันกว้างขวาง มันเข้าได้ทุกอณู ทุกเม็ดหินเม็ดทราย นี่พูดถึงว่าถ้าจิตใจที่เป็นธรรม ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อให้จิตใจอ่อนน้อมถ่อมตนไง

คำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” เห็นไหม เวลาเขาบอกชาวพุทธอ่อนน้อมถ่อมตน เขาบอกไม่กล้าแสดงออก คำว่า “กล้าแสดงออก” มันเป็นทิฏฐิมานะ มันเป็นความเห็น ความอหังการ ความอหังการนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้าเป็นความจริง ถ้าไม่อหังการ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านแสดงธรรมๆ ขณะแสดงธรรมนั่นน่ะความจริง ความจริงถ้ามันถึงเวลาแสดงออก ทำไมมันจะแสดงออกไม่ได้ เวลาธรรมะมันแสดงออกมันครอบ ๓ โลกธาตุ มันทำไมจะทำไม่ได้ คนที่เขามีความจริงของเขา เวลาเขาชักออกมามันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเป็นทิฏฐิมานะ มันไม่มีประโยชน์สิ่งใดๆ เลย

ความเป็นทิฏฐิมานะ สิ่งที่ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนน้อมถ่อมตน คนที่เขามีคุณธรรม เวลายอดหญ้ามันน้อมลงต่ำๆ ความน้อมลง เขามีคุณธรรมของเขา เวลาลมพัดมา หญ้ามันไหวไปตามสายลม ต้นไม้แข็ง ต้นไม้ยืนต้น ลมแรงๆ มา โค่นล้มหมดเลย ความโค่นล้มมันสู้แรงลมไม่ได้

แต่เวลาหญ้า เวลาลมมามันลู่ตามไป มันลู่ตามไป เวลาลมผ่านไปแล้วมันก็ชูช่อขึ้นมาเหมือนเดิม ความเหมือนเดิมของมัน คนที่มีคุณธรรมเขาอ่อนน้อมถ่อมตน คำว่า “อ่อนน้อมถ่อมตน” แต่ในมุมมองของทางโลกบอกว่าเป็นการที่ไม่กล้าแสดงออกๆ...การแสดงออก แสดงออกไปเพื่อกระทบกระเทือนกัน มันมีประโยชน์อะไร

การแสดงออกไป เห็นไหม สิ่งที่มีคุณธรรมๆ คุณธรรมมันเกิดที่นี่ ถ้าคุณธรรมเกิดที่นี่ สิ่งที่เราจะทำ “ศีล สมาธิ ปัญญา” เวลาทำจิตใจให้สมดุลๆ ให้เป็นสมาธิขึ้นมามันก็แสนยากอยู่แล้ว มันมีแต่ทิฏฐิมานะ มีแต่ความอหังการ มันจะไปมีธรรมที่ไหนล่ะ คนมีคุณธรรมเป็นอย่างนั้นหรือ

คนมีคุณธรรมของเขา เขาอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะไม่ให้กิเลสอนุสัยมันนอนเนื่องมา ยิ่งแสดงทิฏฐิมานะขนาดไหน กิเลสมันก็ข่มขี่เขาไปขนาดนั้น แต่การอ่อนน้อมถ่อมตนคือไม่ให้กิเลสมันออก ไม่ให้กิเลสมันแย่งกินก่อน เห็นไหม ดูเวลาพระจะบิณฑบาตนะ “วันนี้เขาจะใส่หูฉลามให้เรากินหรือเปล่า” นี่กิเลสมันกินก่อน ยังไม่ได้ก้าวออกไปจากที่อยู่อาศัยเลย ยังไม่ก้าวออกไปวัดเลย “วันนี้เขาจะใส่หูฉลามหรือเปล่า”

หูฉลามมันต้องไปบิณฑบาตที่เยาวราช ไอ้นี่ในป่าในเขา เขาจะเอาหูฉลามที่ไหนมาใส่ น้ำพริกปลาทูให้มันมีเถอะ

นี่กิเลสมันมีก่อน ทิฏฐิมานะ ความอหังการ “เราเป็นคนมีคุณธรรม เราเป็นคนยอดคน เขาต้องบำรุงบำเรอเราขนาดนั้น” กิเลสมันกินก่อน เห็นไหม แต่ความเป็นธรรมมันไม่ใช่

เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ โปรดสัตว์ เวลาโปรดสัตว์ สัตว์เขาทุกข์เขายากของเขา ตื่นเช้าขึ้นมาเขาหุงหาอาหารเพื่อดำรงชีวิตของเขา ข้าวปากหม้อเขาได้ตักมาใส่บาตรก่อน นี่โปรดสัตว์ การดำรงชีวิตของเขา สิ่งดำรงชีวิตของเขา คนที่มีคุณธรรม มีศีลมีธรรม เขาชิดชู เขาตักอาหารปากหม้อใส่บาตร ใส่บาตรขึ้นมา นี่โปรดสัตว์ โปรดสัตว์ให้จิตใจของเขาเปิดกว้าง จิตใจของเขาไม่มีสิ่งใดกดดันในใจของเขา เพราะเขาเสียสละทานของเขาไป เขาเสียสละเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของเขาไปโปรดสัตว์ นี่ไปโปรดฆราวาส

แล้วเราก็ไปโปรดชีวิตของเราด้วย เราบิณฑบาตด้วยปลีแข้ง เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เวลาออกไปบิณฑบาตให้เดินจงกรมไป เดินจงกรมไป ชีวิตมันเป็นแบบนี้ ฆราวาสเขาก็ทำมาหากิน ปากกัดตีนถีบมา ได้ ๕ ได้ ๑๐ มา ได้สิ่งใดมาก็มาใส่บาตรพระ พระเรา เราเสียสละชีวิตทางโลกมา ทางฆราวาส เรามาบวชเป็นพระ เป็นผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลจะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราไม่มีอาชีพไปแข่งขันกับชาวโลกเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ เราก็ดำรงชีวิตด้วยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะโปรดชีวิตของเราด้วยปลีแข้ง เห็นไหม นี่เราโปรดเราด้วยไง

เราไปโปรดสัตว์ ให้เขาได้ทำบุญกุศลของเขา แล้วเราโปรดชีวิตของเราเอง ชีวิตเราจะอยู่ได้ด้วยอาหาร อาหารนี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเขา เห็นไหม เวลาเดินจงกรมไป พิจารณาไป “พระจะมีคุณธรรมสูงส่งขนาดไหน ก็ต้องอาศัยชาวบ้านเขาหากิน ต้องอาศัยชาวบ้านเขาดำรงชีวิต มันจะสูงส่งไปไหน มันจะมีทิฏฐิมานะไปไหน มันจะมีชื่อเสียงเรียงนามไปไหน จะมีชื่อเสียงเรียงนามไปไหนมันก็บิณฑบาตเป็นวัตร มันต้องอาศัยเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง อาศัยเลี้ยงชีพด้วยน้ำพักน้ำแรงของฆราวาสเขา” เห็นไหม จิตใจมันอ่อนน้อมถ่อมตน มันมีสติ มันเปิดกว้าง มันมีสติปัญญา สติปัญญามันสังเวช มันสังเวชมันก็ย้อนกลับมาในใจของตัว

ถ้าพืชดินดี เขาหว่านกล้าของเขา กล้าของเขาจะเจริญงอกงามของเขา ถ้ามันเป็นหินดาน เป็นลานหิน เขาหว่านกล้าของเขาไป มันพยายามจะมีชีวิตของมัน ดำรงชีวิตของมัน มีน้ำ มีกล้า มันก็พยายามจะแตกหน่อของมัน ตายหมด เพราะมันไม่มีอาหาร

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา เราจะเป็นพื้นดินที่ชุ่มชื้นควรแก่การหว่านพืชหว่านผลไหม ถ้าจิตใจของเรามันควรแก่การหว่านพืช หว่านเมล็ดกล้าลงไป จิตใจเราอ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจมันมีโอกาสไปได้ ถ้าเกิดทิฏฐิมานะ จิตใจมันแข็งกระด้าง จิตใจมันเป็นลานหิน สิ่งใดลงไปมันก็ลงไปไม่ได้ เห็นไหม นี่เรามีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเราเพื่อจิตใจของเรา ถ้าจิตใจของเรา สิ่งนี้มันไม่เกิดทิฏฐิมานะ ไม่เกิดความอหังการ อหังการ อหังการด้วยทิฏฐิมานะไง แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไป ท่านสละชีวิตนะ

เวลาทำความสงบของใจเข้ามา กิเลสมันตามจริตนิสัยของคน ถ้าวันนี้จิตใจนุ่มนวลดี สิ่งใดประพฤติปฏิบัติมันก็จะมีความสงบระงับเข้ามา ถ้าวันนี้จิตใจที่มันกระทบกระเทือนรุนแรง จิตใจที่มันไปคุ้ย ไปจี้ใจดำขึ้นมา มันคิดไปทั้งวันน่ะ ถ้าจิตใจอย่างนี้เราก็ต้องเข้มแข็งของเรา เราต้องมีสติปัญญามากขึ้นมา เพื่อจะเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติทำความสงบของใจเข้ามามันก็ทุกข์ยากแสนเข็ญขนาดนั้น ถ้าจิตใจมันสงบเข้ามา จิตใจมันสงบระงับเข้ามา มันมีที่อยู่ที่อาศัย

คนเรามันเร่ร่อน จิตใจมันเร่ร่อน คนไม่มีบ้านๆ คนไม่มีบ้านมาจากไหน คนที่ทำธุรกิจการค้าขึ้นมาจนเขาล่มสลายไป เขาไม่มีบ้าน เขาทำหน้าที่การงานของเขามา เขาถึงไม่มีบ้าน พอไม่มีบ้าน เขาก็เร่ร่อนของเขา

จิตใจของเราเป็นชาวพุทธ นี่เป็นชาวพุทธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปฏิบัติบูชา การบูชา บูชาเพื่ออะไรล่ะ? บูชาเพื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ในหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญามันก็ไม่เร่ร่อน

คนที่เขาเร่ร่อน เขาทำหน้าที่การงานของเขามา ประสบความสำเร็จของเขา เขาก็มีหน้ามีตาในสังคม คนที่ปฏิบัติหน้าที่การงานของเขามา เขาผิดพลาดของเขาไป เขาทรงธุรกิจของเขาไม่ได้ จนเขาไม่มีที่อยู่อาศัย เขาก็เร่ร่อนของเขา เขาก็ทำของเขามา ล้มลุกคลุกคลานของเขามา จิตใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมา เราจะดูแลรักษาใจของเรา เพราะจิตใจมันอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าร่างกายนี้ ถ้ามันอ่อนน้อมถ่อมตน มันไม่มีทิฏฐิมานะ มันไม่มีความอหังการ มันไม่ให้กิเลสมันครอบงำ

เวลามีความอหังการ มีความทิฏฐิมานะก็คิดว่าตัวเองมีอำนาจ คิดว่าตัวเองมีอำนาจวาสนา ไอ้กิเลสมันหัวเราะเยาะนะ ไอ้นี่มันโง่มากเลย คนโง่อย่างนี้กิเลสมันครอบงำได้หมด แต่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เราละเอียดรอบคอบ เราจะดูแลใจของเรา เราพุทโธๆๆ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เราก็ได้สัมผัส เห็นไหม ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก จิตใจของมันมีความสงบระงับขึ้นมา จะมีความสุขของเราขึ้นมา นี่จะประพฤติปฏิบัติธรรมมีแต่ความอหังการ ปูมันวางก้าม โอ้โฮ! มันคับศาลาไปเลย คับวัดคับวา มันวางกล้าม โอ้โฮ! มันมีคุณธรรม ทุกคนต้องมายอมจำนนกับไอ้ก้ามปูนี่

เขาไปวัด เขาไม่ได้หาไปก้ามปู เขาไปวัดไปวากัน ไปวัดเขาอ่อนน้อมถ่อมตน เขาไม่เอาก้ามปูมาขวางไว้หรอก เขาเอาแต่คุณงามความดี อ่อนน้อมถ่อมตน ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนขนาดไหน กลิ่นของศีลหอมทวนลม คุณงามความดีไม่ต้องไปประกาศ ไม่ต้องประกาศหรอก คุณงามความดีมันหอมทวนลม กลิ่นของดอกไม้ กลิ่นของศีลมันไปตามลม ลมมันพัดไป ไอ้นี่มันทวนลมไป มันทวนลมไปเพราะมันเป็นความจริงไง ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม อ่อนน้อมถ่อมตน ทำจิตใจของเราให้สงบระงับเข้ามา

ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

ทุกคนนะ ดูชาวพุทธเราจะไปอินเดียกัน จะไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ จะไปกราบระลึก เขาว่าไปถึงแล้วมันก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันซาบซึ้งมาก อันนั้นมันเป็นคติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ พระอานนท์ถามไว้เองว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เวลาคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปที่ไหน”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ บอกเขานะ ถ้าระลึกถึงเรา ให้ไปที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่เทศน์ธัมมจักฯ ที่ปรินิพพาน”

นี่ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธเราไปเราก็ไปรื่นเริง แต่พวกที่นอกศาสนาเขาอยู่ที่นั่น เขาอยู่ที่นั่น เขาไม่สนใจเลย แต่คนที่ไปซาบซึ้ง เพราะคนที่มีเจตนาไปเพื่อคุณงามความดี พวกนอกศาสนาเขาอยู่ที่นั่นกัน เขาอยู่ที่นั่น เวลาชาวพุทธไป เขาขอบาทๆ เขาแบมือขอ เขาจะเอาบาทหนึ่ง เขาไม่มีคุณธรรมอะไรเลย แต่เราไป เราซาบซึ้งๆ เราซาบซึ้งเพราะเรามีเจตนา เราไปเพื่อคุณงามความดี

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสอน ให้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กลางหัวใจนี้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์ ให้เขาปฏิบัติบูชาเราเถิด”

ปฏิบัติบูชา เขาเอาร่างกาย เอาจิตใจไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แต่เราจะเอาสติปัญญาของเรา รักษาใจของเรา จะเห็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในหัวใจของเรา เขาต้องนั่งเครื่องบินไปอินเดีย ไปเพื่อความระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเข้าสู่โคนไม้ เราจะเข้าสู่ห้องพระของเรา เราจะเข้าสู่บ้านของเรา เราพยายามกำหนดพุทโธๆ ของเรา เราไม่ต้องเสียเวลาขึ้นเครื่องบิน เราไม่ต้องเสียเวลาไปถึงอินเดีย เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลางหัวอกนี้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่ที่กลางหัวอกนี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

ถ้าเราทำของเราได้ที่นี่ มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เพราะอะไร เพราะมันสร้างขึ้นมาได้เอง มันทำได้เอง การทำได้เอง ปัจจัตตังๆ รู้จำเพาะตนๆ เวลาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาต้องมีไกด์นำนะ ตรงนี้นะ ตรงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดนะ สวนลุมพินีนะ ตรงนี้นะ ตรงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นะ อ้าว! ตรงนี้นะ ตรงนี้พระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ นะ ตรงนี้นะ ตรงนี้ เขาจะมีไกด์คอยอธิบาย ไอ้คนที่ไปก็ซาบซึ้งๆ

แต่เราพุทโธๆ ของเรานะ เวลาจิตมันสงบเข้ามา พุทโธจนพุทโธไม่ได้ นี้ใครเป็นคนบอก? ธรรมและวินัย สัจธรรมมันประกาศกลางหัวอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสถิตอยู่กลางหัวใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาคุ้มครองดูแลหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะคอยให้เรามีสติ ให้เราไม่ไปสู่อวิชชา ไม่ไปสู่ความไม่รู้ของเรา สติปัญญามันจะสมบูรณ์ของมัน ถ้ามันสมบูรณ์ของมันนะ

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบอะไรน่ะ ทำไมต้องไปกราบที่อินเดียด้วยล่ะ เขากราบเพราะหัวใจมันสัมผัส พอหัวใจมันสัมผัสแล้วมันซาบซึ้ง เห็นไหม กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่าเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันมีคุณค่ามาก คุณค่ามากเพราะอะไร

เพราะถ้าไม่เปิดตาของใจขึ้นมา มันก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด ทั้งๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกทางไว้หมดแล้ว มีหลวงปู่มั่นคอยชี้นำอยู่ เวลาปฏิบัติไป กิเลสมันก็ยังปิดตาอยู่นั่นล่ะ นี่มันปิดตาของมัน เวลามันเปิดตาขึ้นมามันเปิดตาที่ไหนล่ะ? มันเปิดตามันเปิดหัวใจ หัวใจมันใช้สติปัญญา มันแยกแยะของมันไป พอแยกแยะของมันไป มันสำรอก ชำระ คายกิเลสออก มันซาบซึ้ง นี่เป็นปัญญาคุณ เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วางธรรมและวินัยนี้ไว้ แต่เรายังจะไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ กันอยู่นะ เราจะไปอินเดียกันอยู่ เราจะไปอินเดียกันอยู่ แต่ไม่ดูหัวใจของตัว

ชาวบ้านเขานินทา บอกไปทำบุญ ไปทำบุญกันมหาศาลเลย ไปหาพระอรหันต์กัน แต่ทิ้งพระอรหันต์ในบ้าน ทิ้งพ่อทิ้งแม่ เพราะพระอรหันต์ของลูก เวลาพ่อแม่ไม่ดูแล ไม่อุปัฏฐาก แต่วิ่งไปทั่วนะ นี่ก็เหมือนกัน ทิ้งหัวใจของตัว ทิ้งพุทธะกลางหัวอก แล้วก็ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ อันนี้มันเป็นคติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม? ใช่ เพราะอะไร เพราะบอกระดับของผู้ที่ไม่ใฝ่รู้ ไม่มีสิ่งใดเป็นสติปัญญาเลย

แต่ของเรานะ เราชาวพุทธ ชาวพุทธเวลาเราพุทธานุสติ ระลึกถึงพุทโธๆ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะที่อยู่กลางหัวใจอันนี้มันสำคัญมาก ถ้าสำคัญมากเพราะอะไร เพราะมันเปิดใจไง มันเปิดใจเพราะมันย้อนเข้ามาที่ใจของตัวไง ถ้ามันย้อนมาที่ใจของตัว มันอ่อนน้อมถ่อมตนเพราะมันจะเข้าสู่ใจของตัวไง ถ้ามันเกิดอหังการ เกิดทิฏฐิมานะ มันก็จะไปอินเดียนู่นไง ไปที่อินเดีย ไปด้วยความไฮโซ ไปด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำไป ไปถึงแห่แหนกันสนุกครึกครื้นไง

แต่ไอ้ของเรามันทุกข์ยาก นั่งอยู่โคนต้นไม้พุทโธๆ อยู่นี่ โอ้โฮ! มันทุกข์มาก เหงื่อไหลไคลย้อย เขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขามีแต่ความรื่นเริงกัน ไอ้เราพุทธะ เราพยายามไปกำหนดพุทโธ ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้

มันทุกข์ยากขนาดนี้เพราะมันมีการต่อสู้กับทิฏฐิมานะ ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา มันมีการต่อสู้กับพญามาร เห็นไหม มารมันครอบงำหัวใจของสัตว์โลก แล้วสัตว์โลกก็แห่แหนกันไปโดยให้มันชักนำกันไป แต่เราเป็นคนที่จะเผชิญหน้ากับมัน จะต่อสู้กับมัน การต่อสู้มันก็ต้องมีการเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา การต่อสู้ การแยกแยะ การกระทำมันก็ต้องมีการเหนื่อยล้า ต้องลงทุนลงแรงเป็นธรรมดา แต่ไปตามกระแส ไปตามมัน ไม่ต้องทำอะไรเลย ให้มันจูงจมูกไป แหม! มีความสุข มีความรื่นเริงไป ให้กิเลสมันจูงจมูกไป แต่เวลาเราจะต่อสู้กับกิเลส เราจะต่อสู้กับมัน ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ มันทุกข์มันยาก ก็จะต่อสู้กับมัน ถ้าต่อสู้กับมัน ต่อสู้เพื่ออะไรล่ะ

ดูสิ ของสกปรก เวลาชำระล้างแล้วมันถึงจะสะอาดใช่ไหม ของสกปรกเราไม่เคยชำระล้างมันเลย ก็เก็บไว้แล้วมันจะสะอาดได้ไหม ถ้ามันสะอาดได้มันต้องอยู่ที่การกระทำของเราใช่ไหม ถ้าอยู่ที่การกระทำ ถ้ากระทำอย่างนี้ จิตใจดวงนั้นจะอ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนน้อมถ่อมตนเพราะอะไร เพราะอยู่ในศีลในธรรม อยู่ในศีลธรรมจริยธรรม อยู่ในวัฒนธรรม อยู่ในวัฒนธรรมเพื่ออะไร? เพื่อสัปปายะไง

หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ เพราะความเป็นสัปปายะของใจ เพราะใจมันอ่อนน้อมถ่อมตนมันถึงจะเป็นสัปปายะในการประพฤติปฏิบัติ ดินดี น้ำชุ่มดี หว่านเมล็ดพืชพันธุ์กล้าไปมันจะเจริญงอกงาม ถ้าดินมันไม่ดี มันเป็นหินดาน มันเป็นลูกรัง สิ่งใดลงไปมันก็พยายามจะงอกเหมือนกันแหละ แต่มันไม่ได้ มันไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม เราจะเอาคุณงามความดีของเรา เราเกิดทิฏฐิมานะ เกิดความอหังการ เกิดหัวใจที่มันคมกล้าบ้าบิ่น มันจะมีอะไรขึ้นมาล่ะ ถ้ามันกล้ามันต้องกล้าในธรรมวินัยสิ ถ้ามันกล้ามันต้องกล้าในการนั่งสมาธิสิ ถ้ามันกล้ามันต้องกล้าในการเดินจงกรมสิ กล้าอย่างนั้นถึงประเสริฐ กล้ามันต้องกล้าเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราสิ

กล้าด้วยความจะเหยียบย่ำคนอื่น กล้าด้วยทิฏฐิมานะ กล้าด้วยความอหังการ กิเลสทั้งนั้นแหละ! กิเลสทั้งนั้น!

อ่อนน้อมถ่อมตน ดินชุ่มน้ำ ดินดี เพาะปลูกสิ่งใดมันก็เจริญงอกงาม เจริญงอกงามในหัวใจของเรานะ

ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนสติของเรา เราพยายามจะหาคุณงามความดี หาประโยชน์กับจิตดวงนี้ หาประโยชน์ให้หัวใจของเรา หัวใจเราเวลาทุกข์เวลายาก ทุกคนอยากพ้นทุกข์ แต่ทุกคนไม่มองที่ใจของตน ไปมองแต่เรื่องคนอื่น ไปมองแต่เรื่องข้างนอก ไปมองแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องสมมุติบัญญัติทั้งนั้นแหละ แต่เวลาจะมองใจของตัวทำไม่ได้ มันละเอียดลึกซึ้งจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วว่า “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” เพราะ เพราะต้องให้ทุกคนหันกลับทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตัว หันกลับทวนกระแสเข้าไปสู่ความรู้สึกของตัว ไปชำระล้างกันที่นั่น ไปอุปัฏฐากดูแลหัวใจของเรา เพื่อให้มันมีคนค้ำจุนมัน จิตใจของเรามันเรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องความช่วยเหลือ

“ศีล สมาธิ ปัญญา” จะไปช่วยเหลือมัน จะไปดูแลอุปัฏฐากมัน ให้ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง